Facebook

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หนังสือสำหรับผู้สนใจเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง





























บทที่ 1 จาก หนังสืออังกฤษติดกระเป๋า
เมื่อคิดเดินทาง

จะเดินทางครั้งแรกตื่นเต้นไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง
เดินทางบ่อยแล้วแต่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเลย
อยากพูดแต่ไม่รู้จะแต่งประโยคอย่างไร
ถ้าพูดได้คงสนุกขึ้นเยอะ


หนังสือเล่มนี้คงช่วยเจ้าของคำถามเหล่านี้ได้ บางคนต้องเจอปัญหาตั้งแต่อยู่เมืองไทยตอนไปขอวีซ่า กรอกแบบฟอร์มไม่ถนัด ถ้าเจอสัมภาษณ์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ปัญหาที่พบก็คือ ภาษาอังกฤษนั่นเอง ทำไมยากนักนะ หลายคนบ่นกัน บางคนถึงขนาดคิดว่ามีไหมที่จ่ายเงินแล้วพูดได้เลย ไม่มีแน่นอนค่ะ
เราลองมาช่วยกันดู แต่ก่อนอื่นคุณต้องบอกตัวเองก่อนว่า คุณจะทำได้ คุณต้องพูดภาษาอังกฤษได้ บางคนบอกตัวเองอยู่ตลอดว่าทำไม่ได้ นั่นเป็นการบั่นทอนกำลังใจและความมุ่งมั่นมากๆ ด้วยความตั้งใจและการฝึกฝนของคุณพร้อมความช่วยเหลือจากหนังสือเล่มนี้ ภาษาอังกฤษของคุณจะพัฒนาขึ้นแน่ๆ
ลองมาเริ่มภาษาอังกฤษ 20 หัวข้อพื้นฐานที่คุณควรทราบ

1. Personal information เพอ-เซอะน’ล อินเฟาะเม-เฌิน
ก่อนอื่นมารู้จักภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับตัวคุณ About you เออะ-เบาท ยู
Write your name and last name here.Name เนม ชื่อ
Surname เซอ-เนม
Last name ลาซท-เนม นามสกุล
Family name แฟม-ลิ-เนม

คุณจะต้องหัดเขียนชื่อและนามสกุลของคุณเป็นภาษาอังกฤษให้คล่อง ถ้ายังไม่รู้ว่าเขียนอย่างไร ลองปรึกษาผู้รู้ดูนะคะ หรือฝึกเขียนตามใน Passport พาส-พอท ของคุณคะ เมื่อฝึกเขียนชื่อของคุณจนคล่องแล้วก็ลองฝึกเขียนชื่อ คุณพ่อ คุณแม่ สามี หรือ ภรรยา รวมทั้งลูกๆของคุณด้วยนะคะ
บางครั้งเมื่อเราบอกชื่อของเรากับชาวต่างชาติ เขาอาจฟังไม่เข้าใจและขอให้คุณสะกดชื่อให้ฟัง

What is your name?
ว็อท อิส ยัว เนม คุณชื่ออะไร
My name is Somying Yindee
มาย เนม อิส สมหญิง ยินดี ฉันชื่อ สมหญิง ยินดี
Please spell your name./ How do you spell that?
พลิส สเปล ยัว เนม / ฮาว ดู ยู สเปล ธแดท
ได้โปรดสะกดชื่อของคุณ ชื่อของคุณสะกดอย่างไร
S-o-m-y-i-n-g Y-i-n-d-e-e
เอส โอ เอ็ม วาย ไอ เอ็น จี วาย ไอ เอ็น ดี อี อี
What is your spouse’s name?
ว็อท อิส ยัว ซเพาสซึส เนม คู่สมรสของคุณชื่ออะไร
His name is _________
ฮีส เนม อิส ชื่อของเขาคือ
Her name is _________
เฮอ เนม อิส ชื่อของเธอคือ

2. การสะกดชื่อได้ถูกต้อง คุณจะต้องทราบว่า ตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัว มีชื่อเรียกว่าอย่างไร

A เอ
B บี
C ซี
D ดี
E อี
F เอ็ฟ
G จี
H เอช เสียงท้ายจะเหมือนเวลาที่เราห้ามไม่ให้เด็กทำเสียงดัง เราจะทำเสียง “ชู”
I ไอ
J เจ
K เค
L แอ็ล จบเสียงโดยการเอาลิ้นไปไว้หลังฟันหน้าบน คุณก็จะได้เสียงตัวแอ็ลที่ถูกต้อง
M เอ็ม
N เอ็น
O โอ
P พี
Q คยู
R อาร์ ไม่ใช่แค่เสียงที่คุณเรียกคุณอา แต่จะมีเสียงท้ายเหมือนเวลาที่คุณกลั้วคอ
S เอส
T ที
U ยู
V วี ฟันบนกัดริมฝีปากล่างไว้แล้วออกเสียง สังเกตว่า ริมฝีปากจะมีการสั่นสะเทือน ซึ่งต่างจากตัวF ที่เป็นแค่การพ่นลม ริมฝีปากไม่สั่น
W ดับ’ บยู
X เอ็คส์ คุณจะไม่ออกแค่ เอ็ก แต่จะมีเสียง เคอะ และเสียงซึ ตามมาด้วย
Y วาย
Z แซด อังกฤษ
ซี อเมริกัน คุณจะรู้สึกลมสั่นสะเทือนระหว่างลิ้นกับเพดานบนด้วย

3. การบอกตัวเลข แบ่งได้เป็น เลขลำดับที่ กับ จำนวนตัวเลข

การบอกวันเกิด
Date of birth เดท ออฟ เบิธ วันเกิด
คุณต้องทราบว่าเดือนเกิดของคุณเขียนอย่างไร เวลาที่เราอ่านวันที่ เลขที่อ่านต้องเป็นลำดับที่
My birthday is on March 2nd, 1969.
มาย เบิธเด อีส ออน มาช เซค เคิน นายน์ทีน ซิคซที่นายน์
วันเกิดของฉันคือ วันที่ 2 มีนาคม 2512

Monday
Tuesday
Wednesday
Thursday
Friday
Saturday
Sunday
1st
First
เฟิสท

2nd
Second
เซ็คเคิน

3rd
Third
เธิด

4th
Fourth
ฟอร์ธ

5th
Fifth
ฟิฟธ์

6th
Sixth
ซิคธ์

7th
Seventh
เซเว่นธ์

8th
Eighth
เอ็ทธ์

9th
Ninth
นายธ์

10th
Tenth
เท็นธ์

11th
Eleventh
อิเล็ฟเว่นธ์
12th
Twelfth
ทเว็ลฟ์ธ

13th
Thirteenth
เธอทีนธ์

14th
Fourteenth
ฟอร์ทีนธ์

15th
Fifteenth
ฟิฟทีนธ์

16th
Sixteenth
ซิคทีนธ์

17th
Seventeenth
เซเว่นทีนธ์

18th
Eighteenth
เอ็ททีนธ์

19th
Nineteenth
นายทีนธ์

20th
Twentieth
ทะเว่นตี้เอ็ท

21st
Twenty-first
ทะเว่นตี้-เฟิสท

22nd
Twenty-second
ทะเว่นตี้-เซ็คเคิน

23rd
Twenty-third
ทะเว่นตี้-เธิด

24th
Twenty-fourth
ทะเว่นตี้-ฟอร์ธ

25th
Twenty-fifth
ทะเว่นตี้-ฟิฟธ์

26th
Twenty-sixth
ทะเว่นตี้-ซิคธ์

27th
Twenty-seventh
ทะเว่นตี้-เซเว่นธ์

28th
Twenty-eighth
ทะเว่นตี้-เอ็ทธ์

29th
Twenty-ninth
ทะเว่นตี้-นายธ์

30th
Thirtieth
เธอตี้เอ็ธ

31st
Thirty-first
เธอตี้-เฟิสท


Months of the year มันธซ ออฟ เดอะ เยีย

January แจน-ยูเออะริ มกราคม

February เฟบ-บุอะริ กุมภาพันธ์

March มาร์ช มีนาคม

April เอ-พริล เมษายน

May เม พฤษภาคม

June จูน มิถุนายน

July จูลาย กรกฎาคม

August ออ-เกิซท สิงหาคม

September เซ็พเทม-เบอะ กันยายน

October อ็อคโท-เบอะ ตุลาคม

November โนเวม-เบอะ พฤศจิกายน

December ดิเซม-เบอะ ธันวาคม

How old are you? การบอกอายุ
ฮาว โอล อา ยู คุณอายุเท่าไร
I am 40 years old.
ไอ แอม ฟอ-ติ เยีย-ส โอล ฉันอายุ 40 ปี
I am 40.
ไอ แอม ฟอ-ติ ฉันอายุ 40 ปี


เลขที่ใช้บอกอายุ เราใช้จำนวนตัวเลขปกติที่คุณรู้จัก
1 one วัน 11 eleven อีเล็ฟเว่น 30 thirty เธอร์ที่ 100 000 hundred thousand ฮันเดร็ด เธ้าเซิ่น
2 two ทู 12 twelve ทเว็ลฟ์ 40 forty ฟอร์ที่ 1 000 000 million มิลเลี่ยน
3 three ธรี 13 thirteen เธอร์ทีน 50 fifty ฟิฟที่
4 four โฟร์ 14 fourteen โฟร์ทีน 60 sixty ซิคซ์ที่
5 five ไฟ้ว์ 15 fifteen ฟิฟทีน 70 seventy เซเว่นที่
6 six ซิคซ์ 16 sixteen ซิคซ์ทีน 80 eighty เอทที่
7 seven เซเว่น 17 seventeen เซเว่นทีน 90 ninety นายน์ที่
8 eight เอท 18 eighteen เอททีน 100 hundred ฮันเดร็ด
9 nine นายน์ 19 nineteen นายน์ทีน 1000 thousand เธ้าเซิ่น
10 ten เท็น 20 twenty ทเวนที่ 10 000 ten thousand เท็น เธ้าเซิ่น


การบอกหมายเลขโทรศัพท์
What is your phone number? ว็อท อิส ยัว โฟน นัมเบอร์
หมายเลขโทรศัพท์ของคุณคืออะไร

My phone number is 081 701 3865
มาย โฟน นัมเบอร์ อิส ซีโร่ เอท วัน เซเว่น ซีโร่ วัน ธรี เอท ซิคซ ไฟฝ
หมายเลขโทรศัพท์ของฉันคือ 081 701 3865

ฝึกอ่านออกเสียงตัวเลขให้ถูกต้อง eight เอท ไม่ใช่ egg เอ็ก
six ซิคซ ไม่ใช่ sick ซิค
three ธรี ไม่ใช่ tree ทรี
เสียงของ th คือเสียงที่คุณ ต้องเอาปลายลิ้นสัมผัสฟันบนแล้วพ่นลมออกมา ขอใช้ ธ เป็นสัญญลักษณ์


Where were you born? คุณเกิดที่ไหน
แว เวอ ยู บอน
I was born in Prachuap Khiri Khan. ไอ วอส บอน อิน ประจวบคีรีขันธ์
ฉันเกิดที่ ประจวบคีรีขันธ์


Address ที่อยู่ Permanent address ที่อยู่ถาวรตามในทะเบียนบ้าน
แอด เดรส เพอร์ เมอ เนิท แอด เดรส
Correspondence address ที่อยู่ที่ติดต่อได้
เคอะ เริส พอน เดิส แอด เดรส
What is your address? ว็อท อิส ยัวร์ แอด เดรส
ที่อยู่ของคุณคือ
My address is ______________ มาย แอด เดรส อิส
ที่อยู่ของฉันคือ
ฝึกเขียนที่อยู่ให้คล่องทั้ง ชื่อตำบล อำเภอ และชื่อจังหวัดนะคะ

Nationality สัญชาติ

What is your nationality? ว็อท อิส ยัวร์ แนชั่นนาริที่
คุณสัญชาติอะไร

I am Thai. ฉันเป็นคนไทย สังเกตว่าชื่อสัญชาติต้องเขียนเป็นตัวใหญ่เสมอ ชื่อประเทศกับชื่อสัญชาติไม่ใช่ชื่อเดียวกัน และบางประเทศชื่อภาษาก็ไม่ใช่ขื่อเดียวกับสัญชาตินะคะ เช่น คนแคนนาดาเขาไม่ได้พูดภาษาแคนนาดา เขาพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศสค่ะ

Country Nationality Language
คันทรี แนชั่นนาริที่ แล็งกวิจ
Thailand Thai Thai
ไทยแลนด์ ไทย ไทย
Australia Australian English
ออสเตรเลีย ออสเตรเลี่ยน อิงลิช
Canada Canadian English/French
แคนนาดา แคนนาเดียน อิงลิช ฟเรินช
China Chinese Chinese
ไชน่า ไชนิส ไชนิส
England English English
อิงแลนด์ อิงลิช อิงลิช
France French French
ฟแรนส ฟเรินช ฟเรินช
Germany German German
เจอร์มันนี เจอร์มัน เจอร์มัน
Italy Italian Italian
อิทาลี อิทาเลียน อิทาเลียน
Japan Japanese Japanese
เจแปน เจแปนนิส เจแปนนิส
Laos Laotian Laotian
ลาวส ลาวเชี่ยน ลาวเชี่ยน
New Zealand New Zealander English
นิว ซีแลนด์ นิว ซีแลนด์เดอร์ อิงลิช
The United States American English
of America
เดอะ ยูไนเทด
สเตทออฟอเมริกา อเมริกัน อิงลิช


Marital Status มาริเทิล สเตตัส สถานภาพการสมรส
I am married. ไอ แอม แมริด สมรส
I am single. ไอ แอม ซิงเกอร์ โสด
I am divorced. ไอ แอม ดิโวสด หย่า
I am separated. ไอ แอม เซพาเรทด แยกทาง
I am widowed. ไอ แอม วิโดด หม้าย

4. Greetings กรีทดิง คำทักทายและคำสุภาพ


Good morning, Linda. I’m Somying. กูดมอร์นิ่ง ลินดา แอม สมหญิง
afternoon อาฟเตอร์นูน
evening อีฟนิ่ง

How do you do? ฮาว ดู ยู ดู ใช้เมื่อพบกันครั้งแรกเท่านั้น
Hello, how do you do? เฮลโล ฮาว ดู ยู ดู เมื่อผู้ตอบกลับมาก็ใช้ประโยคเดียวกัน
How are you? ฮาว อาร์ ยู
How are you doing? ฮาว อาร์ ยู ดูอิ่ง เป็นการถามว่าสบายดีไหม
I’m fine. I am fine. แอม ไฟน ไอ แอม ไฟน
I am very well. And you? ไอ แอม เวรี่ เวล แอน ยู
I’m fine, thank you. แอม ไฟน แธงคยู


คำสุภาพ ที่คุณควรทราบและพูดให้ติด ก็คือ Thank you แธงคยู เราไม่อ่าน แธง ยู ค่ะ ขอบคุณ ที่คนให้ของหรือทำอะไรให้
Please พลีส การขอให้ใครทำอะไรให้
Sorry ซอรี่ การกล่าวขอโทษ หากเราทำอะไรให้ใครได้รับการกระทบกระเทือนไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด
Excuse me เอ็คส คูส มี การกล่าวขอโทษ ในกรณีขอทาง หรือต้องการเรียกให้เขาหันมาสนใจเรา
May I speak to Linda? เม ไอ สปีค ทู ลินดา ขอพูดกับลินดา
May I sit here? เม ไอ ซิท เฮีย เป็นการขออนุญาติ ขอนั่งตรงนี้

Could you please speak slowly? ได้โปรดพูดช้าหน่อยค่ะ
คูด ยู พลีส สปีค สโลลี่
I would like a window seat. ฉันต้องการที่นั่งติดหน้าต่างค่ะ
ไอ วูด ไลค อะ วินโด ซีท
I would like to talk to you. ฉันต้องการพูดกับคุณค่ะ
ไอ วูด ไลค ทู ทอค ทู ยู

5. การใช้คำว่า this ธีส นี้ that ธแดท นั้น
This ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จับต้องได้
This is a baggage. ธีส อิส อะ แบกเกิจ นี่คือกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง
This is not a ticket. ธีส อิส นอท อะ ทิคเก็ท นี่ไม่ใช่ตั๋ว
เมื่อต้องการทำให้เป็นปฏิเสธ ก็ใส่ not นอท ไว้ข้างหลังกริยา ซึ่งในที่นี้ก็คือ is
Is this a book? อิส ธีส อะ บุค นี่คือหนังสือหรือ
ถ้าต้องการทำให้เป็นคำถาม ก็เอากริยาในประโยค คือ is มาไว้ข้างหน้า ก็จะได้คำถามว่า นี่คือหนังสือเล่มหนึ่งหรือ การตอบคำถามนี้จะต้องตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ คือตอบ yes เยส หรือ no โน
Yes, this is a book. ตอบสั้นๆว่า Yes, it is.
No, this is not a book. No, it is not.

That คือ สิ่งที่อยู่ไกลตัวจับไม่ถึง
That is a car. ธแดท อิส อะ คาร์
That is not a car. ธแดท อิส นอท อะ คาร์
Is that a car?
Yes, that is a car. Yes, that is.
No, that is not a car. No, that is not.

ถ้าเราต้องการพูดถึงของหลายสิ่ง จาก This นี้ ต้องใช้ These ธีสส เหล่านี้
จาก That นั้น ต้องใช้ Those โธสส เหล่านั้น
These are books. เมื่อคำนามมีมากกว่าหนึ่ง คำนามต้องเติม s
ธีสส อาร์ บุคส
Those are cars. กริยาจาก is ต้องเปลี่ยนเป็น are
โธสส อาร์ คาร์ส
That is an aeroplane. ธแดท อิส แอน แอโรเพลน
Those are aeroplanes. โธสส อาร์ แอโรเพลนส

6. คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ man, cat, box, school ถ้ามีแค่หนึ่งเดียว หรือเอกพจน์ จะมีคำนำหน้าเสมอ a man, a cat, a box, a school
a อะ จะใช้นำหน้า คำที่ขึ้นต้นด้วย พยัญชนะ
an แอน จะใช้นำหน้า คำที่ขึ้นต้นด้วย สระ
สระในภาษาอังกฤษ มี 5 ตัว คือ A E I O U
an actor แอน แอคเทอร์ an aeroplane แอน แอโรเพลน
จะมีข้อยกเว้นบ้าง เช่น an hour แอน อาวเออร์
a university อะ ยูนิเวอร์ซิที่
a uniform อะ ยูนิฟอร์ม

7. เมื่อรู้จักคำนาม มาลองรู้จัก สรรพนามบ้าง สรรพนามคือ คำแทนนาม (ตำแหน่งประธาน)

I ไอ ฉัน เป็นเอกพจน์ เป็นผู้พูด
You ยู คุณ เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เขาจะเป็นคู่สนทนา เป็นผู้ฟัง
We วี พวกเรา เป็นพหูพจน์
They เด พวกเขา ผู้ที่เรากล่าวถึง พหูพจน์
He ฮี เขาผู้ชาย เป็นผู้ที่เรากล่าวถึง เอกพจน์
She ชี เขาผู้หญิง เป็นผู้ที่เรากล่าวถึง เอกพจน์
It อิท มัน เป็นผู้ที่เรากล่าวถึง เอกพจน์

I am a doctor. ไอ แอม อะ ด็อคเตอร์
I have a house. ไอ แฮฟ อะ เฮาส
I go to work everyday. ไอ โก ทู เวอค์ เอ็ฟ วริ เด
You are tourists. (พหูพจน์) ยู อาร์ ทัวริสทส์
You are a nurse. (เอกพจน์) ยู อาร์ อะ เนอส
We are Thais. วี อาร์ ไทยส
We are from Thailand. วี อาร์ ฟรอม ไทยแลนด์
They are students. เด อาร์ สติวเด็นทส
They like to play football. เด ไลค ทู เพล ฟุทบอล
He is a captain. ฮี อิส อะ แคพเทิน
He has a pen. ฮี แฮส อะ เพ็น
She is a teacher. ชี อิส อะ ทิชเชอร์
She likes shopping. ชี ไลคส ช๊อพพิง
It is a dog. อิท อิส อะ ด็อก
It has a tail. อิท แฮส อะ เทล

8. มารู้จักคำแสดงความเป็นเจ้าของกันบ้าง
คำขยายคำนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ คำสรรพนาม แสดงความเป็นเจ้าของ
My มาย Mine ไมน์ ของฉัน
Your ยัวร์ Yours ยัวร์ ของคุณ
Our อาวเออร์ Ours อาวเออร์ส ของพวกเรา
Their แดร์ Theirs แดร์ส ของพวกเขา
His ฮีส His ฮีส ของเขา
Her เฮอร์ Hers เฮอร์ส ของเธอ
Its อิทส Its อิทส ของมัน

This is my book. This book is mine.
นี้คือหนังสือของฉัน หนังสือนี้ของฉัน
This is your seat. This seat is yours.
นี้คือที่นั่งของคุณ ที่นั่งนี้ของคุณ
This is our gate. This gate is ours.
นี้คือประตูทางขึ้นเครื่องของพวกเรา ประตูทางขึ้นเครื่องนี้ของพวกเรา
These are their baggages. These baggages are theirs.
เหล่านี้คือกระเป๋าเดินทางของพวกเขา กระเป๋าเดินทางเหล่านี้ของพวกเขา
This is his carry-on bag. This carry-on bag is his.
นี้คือกระเป๋าของเขา กระเป๋านี้ของเขา
This is her passport. This passport is hers.
นี้คือหนังสือเดินทางของเธอ หนังสือเดินทางนี้ของเธอ
This is its box. This box is its.
นี้คือกล่องของมัน กล่องนี้ของมัน

คำขยายคำนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จะอยู่หน้าคำนามเสมอ
คำสรรพนาม แสดงความเป็นเจ้าของ จะสังเกตว่า เราใช้แทนคำนามได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีคำนามอีก

9. มารู้จักคำขยายคำนามเพิ่มเติมกันอีกสักหน่อย ทำไมต้องขยายล่ะ ขยายเพื่อให้ทราบว่ามีลักษณะอย่างไร สีอะไร มีคุณสมบัติอย่างไร เช่น
This is a fat girl. เด็กผู้หญิงคนนี้อ้วน
ตำแหน่งของคำขยายคำนามอยู่ได้ 2 ตำแหน่ง คือ 1 อยู่ข้างหน้าคำนาม ตามตัวอย่างข้างต้น กับ 2 อยู่ข้างหลังกริยา คือ หลัง verb to be (is am are) This girl is fat.

คำขยายคำนามที่ควรทราบ

Front ฟรอน ข้างหน้า Back แบค ข้างหลัง
Left เลฟท ข้างซ้าย Right ไรท ข้างขวา
Big บิก ใหญ่ Small สมอล เล็ก
Fat แฟท อ้วน Thin ธิน ผอม
Dirty เดอร์ที สกปรก Clean คลีน สะอาด
Open โอเพิน เปิด Close โค๊ส ปิด
Long ลอง ยาว Short ชอร์ท สั้น
Happy แฮพพี มีความสุข Sad แซด เศร้า
Heavy เฮฟวี หนัก Light ไลท เบา
Hot ฮอท ร้อน Cold โคลด หนาว
Safe เซฟ ปลอดภัย Dangerous เดนเจอะเริซ อันตราย
Old โอลด เก่า New นิว ใหม่
Cheap ชีพ ถูก Expensive เอ็คสเพนซีฝ แพง


I sit at the front seat. ไอ ซิท แอท เดอะ ฟรอน ซีท
back แบค

Your seat is at the left side of the aircraft.
right
ยัวร์ ซีท อิส แอท เดอะ เลฟท ไซด์ ออฟ ดิ แอร์คราฟ
ไรท
The seat is big. The seat is small.
เดอะ ซีท อิส บิก เดอะ ซีท อิส สมอล

My seat is dirty. My baggage is clean.
มาย ซีท อิส เดอร์ที มาย แบกเกิจ อิส คลีน

The line is long. The line is short.
เดอะ ไลน อิส ลอง เดอะ ไลน อิส ชอท

The baggage is heavy. The baggage is light.
เดอะ แบกเกิจ อิส เฮฟวี เดอะ แบกเกิจ อิส ไลท

The knife is dangerous to take on board.
เดอะ ไนฟ อิส เดนเจอะเริซ ทู เทค ออน บอร์ด มีดเป็นอันตรายที่จะนำขึ้นเครื่อง

The book is safe to take on board.
เดอะ บุค อิส เซฟ ทู เทค ออน บอร์ด หนังสือปลอดภัยที่จะนำขึ้นเครื่อง


10. เราเห็น การใช้ is are มาบ้างแล้ว is อิส am แอม are อาร์ คือ คำกริยา กระจายมาจาก
Verb to be เวอร์บ ทู บี แปลว่า เป็น อยู่ หรือคือ

I am Thai. ไอ แอม ไทย ฉันเป็นคนไทย
He is from Thailand. ฮี อิส ฟรอม ไทยแลนด์ เขามาจากประเทศไทย
They are kind. เด อาร์ คายน์ พวกเขาใจดี
You are a teacher. ยู อาร์ อะ ทิชเชอร์ คุณเป็นครู

ประโยคที่มี Verb to be เราสามารถใช้ Verb to be ตั้งคำถามได้เลย เช่น

Are you Thai? อาร์ ยู ไทย คุณเป็นคนไทยใช่ไหม
Where are you from? แวร์ อาร์ ยู ฟรอม คุณมาจากไหน
Where is the gate number 4? แวร์ อิส เดอะ เกท นัมเบอร์ โฟร์
ประตูขึ้นเครื่องหมายเลข 4 อยู่ที่ไหน
What is your last name? วอท อิส ยัวร์ ลาสท เนม
นามสกุลของคุณคืออะไร

11. การบอกว่ามีอะไรลอยๆ เช่น มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ เราจะไม่ใช้ว่า Have a book on the table.
แต่เราจะใช้คำว่า There is ธแด อิส / There are ธแด อาร์ ซึ่งแปลว่ามี เหตุผลที่เราใช้ have ไม่ได้ เพราะ ไม่ใช่ใครมี เช่น I have a book. ฉันมีหนังสือ แต่เราไม่ได้ต้องการพูดถึงใคร เราเพียงแต่พูดขึ้นมาลอยๆว่า There is a book on the table. มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ
There are a lot of people at the airport. มีผู้คนมากที่สนามบิน
ธแด อาร์ อะลอท ออฟ พีเพิล แอท ดิ แอร์พอท

12. การถามว่าต้องการบ้างไหม หรือมีบ้าง เราจะใช้คำว่า some ซัม กับ any เอนิ
I would like some water, please. ฉันต้องการน้ำสักหน่อยค่ะ
ไอ วูด ไลค ซัม วอเทอร์ พลีส
Would you like any coffee? คุณต้องการกาแฟบ้างไหมค่ะ
วูด ยู ไลค เอนิ คอฟฟี่
I would like some please. ไอ วูด ไลค ซัม พรีส
Yes, please เยส พลีส ตอบว่าต้องการ
No, I wouldn’t like any, thank you. บอกว่าไม่ต้องการ
โน ไอ วูดเดิน ไลค เอนิ แธงคยู
การใช้ some เราจะใช้กับประโยคบอกเล่ากับประโยคตอบรับ
การใช้ any เราจะใช้กับประโยคคำถาม กับประโยคปฏิเสธ

การถามราคาเท่าไหร่ เราใช้ How much is this book? ฮาว มัช อิส ธิส บุค
Much มัช ใช้กับคำนามที่นับไม่ได้ ในภาษาอังกฤษแบ่งคำนามออกเป็น นับได้ กับนับไม่ได้
คำนามนับไม่ได้เช่น น้ำ water ข้าว rice น้ำมัน oil กาแฟ coffee ชา tea รวมทั้งเงิน money ด้วย
ส่วน Many เมนนี่ ใช้กับคำนามที่นับได้และต้องเป็นพหูพจน์เสมอ
How many bags would you like to buy?
ฮาว เมนนี่ แบคส วูด ยู ไลค ทู บาย
How many girls are there in the room?
ฮาว เมนนี่ เกร์ลส อาร์ ธแด อิน เดอะ รูม

13. คำที่ช่วยในการตั้งคำถาม
What วอท อะไร What is this? นี่คืออะไร
Where แวร์ ที่ไหน Where is the toilet? ห้องนํ้าอยู่ที่ไหน
When เวน เมื่อไหร่ When can we go? เราไปได้เมื่อไหร่
Why วาย ทำไม Why do you come here? คุณมาที่นี่ทำไม
Which วิช อันไหน Which book do you like, this one or that one?
คุณชอบหนังสือเล่มไหน เล่มนี้หรือเล่มนั้น
Whose ฮูส ของใคร Whose bag is this? กระเป๋าใบนี้ของใคร
How ฮาว อย่างไร How is your trip? การเดินทางของคุณเป็นอย่างไร

14. คำบอกเวลา หรือความถี่ที่ควรทราบ
Always ออลเวส เสมอ
I always go to work.
ฉันไปทำงานเสมอ
Usually ยูชัลลี่ ปกติ
I usually do exercises in the morning.
ปกติฉันออกกำลังกายตอนเช้า
Often ออฟเฟิน บ่อยๆ
I often eat outside.
ฉันทานอาหารข้างนอกบ่อยๆ
Sometimes ซัมทามส บางที
I sometimes watch TV.
ฉันดูโทรทัศน์บ้าง
Seldom เซลดอม นานๆครั้ง
I seldom speak English.
ฉันไม่ค่อยได้พูดภาษาอังกฤษ
Never เนเวอร์ ไม่เคย
I never smoke.
ฉันไม่เคยสูบบุหรี่

15. คำบอกตำแหน่งที่ควรทราบ
in อิน ใน under อันเดอร์ ใต้ below บีโลว ข้างใต้
on ออน บน in front of อิน ฟรอน ออฟ ข้างหน้า between บีเทอะวีน ระหว่าง
at แอท ที่ next to เน็คส ทู ข้างๆ ติดกับ
near เนีย ใกล้ above อะโบฟ ข้างบน

I sit next to my friend. ฉันนั่งติดกับเพื่อนของฉัน
ไอ ซิท เน็คส ทู มาย ฟเร็นด
My sister sits in front of me. พี่สาวของฉันนั่งข้างหน้าฉัน
มาย ซิซเทอร์ ซิทส อิน ฟรอน ออฟ มี
I put my carry-on bag under my seat. ฉันวางกระเป๋าแคริออนไว้ใต้ที่นั่ง
ไอ พุท มาย แคริออน แบก อันเดอร์ มาย ซีท

16. การบอกเวลา
o’clock โอ คล็อค จะใช้ต่อเมื่อเข็มยาวชี้ที่เลข 12 เท่านั้น
นอกจากนี้ไม่ใช้ o’clock เลย
สังเกตว่า เราจะใช้ past พาสท เมื่อเข็มยาวอยู่ระหว่างเลข 1-6
ใช้ to ทู บวกชั่วโมงต่อไปเมื่อเข็มยาวอยู่ระหว่างเลข 6-12

16:00 It’s four o’clock.
16:05 It’s four o five. It’s five minutes past four.
16:10 It’s four ten. It’s ten minutes past four
16:15 It’s four fifteen. It’s fifteen minutes past four.
It’s a quarter past four.
16:20 It’s four twenty. It’s twenty minutes past four.
16:25 It’s four twenty-five. It’s twenty-five minutes past four.
16:30 It’s four thirty. It’s half past four.
16:35 It’s four thirty-five. It’s twenty-five minutes to five.
16:40 It’s four forty. It’s twenty minutes to five.
16:45 It’s four forty-five. It’s fifteen minutes to five.
It’s a quarter to five.
16:50 It’s four fifty. It’s ten minutes to five.
16:55 It’s four fifty- five. It’s five minutes to five.


17. สำนวนการบอกเวลา
In the morning I leave home in the morning.
อิน เดอะ มอร์นิ่ง ไอ ลีฟ โฮม อิน เดอะ มอร์นิ่ง
ตอนเช้า ฉันออกจากบ้านตอนเช้า
In the afternoon They play football in the afternoon.
อิน ดิ อาฟเทอะนูน เด เพล ฟุทบอล อิน ดิ อาฟเทอะนูน
ตอนบ่าย พวกเขาเล่นฟุตบอลตอนบ่าย
In the evening Let meet at 8 in the evening.
อิน ดิ อีฟนิ่ง เลท มีท แอท เอท อิน ดิ อีฟนิ่ง
ตอนเย็น พบกันตอนแปดโมงเย็น สองทุ่ม
At night She likes to stay home at night.
แอท ไนท ชี ไลคส ทู สเต โฮม แอท ไนท
ตอนกลางคืน เธอชอบอยู่บ้านตอนกลางคืน
At + เวลา Can I see you at noon tomorrow?
แอท แคน ไอ ซี ยู แอท นูน ทูมอร์โรล
ตอน/ที่ ฉันสามารถพบคุณพรุ่งนี้เที่ยงได้ไหม
18.-20. การพูดถึง ปัจจุบัน อดีต อนาคต
คุณเคยได้ยิน กริยา 3 ช่อง ทำไมต้องมี 3 ช่องด้วย ลองมาไขข้อข้องใจกันดู

Verb to go ช่องที่ 1 ช่องที่ 2 ช่องที่ 3
เวิร์บ ทู โก go went gone
โก เว็นท กอน

ช่องที่ 1 เราไว้ใช้กับ เหตุการณ์ในปัจจุบันทั้งหมด เช่น
I go to school. ฉันไปโรงเรียน
ไอ โก ทู สกูล
ช่องที่ 2 เราไว้ใช้กับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด และมีเวลาระบุชัดเจน เช่น เมื่อวานนี้
I went to school yesterday. ฉันไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
ไอ เว็นท ทู สกูล เยสเทอร์เด
ส่วนช่องที่ 3 จะใช้กับ verb to have เวิร์บ ทู แฮฟ เมื่อเราต้องการหมายถึงสิ่งที่ทำลงไปแล้วแต่ยังมีผลอยู่ หรือ อาการที่เราได้ทำไปแล้ว
He has gone to work. เขาได้ไปทำงานแล้ว
ฮี แฮส กอน ทู เวิร์ค
I have eaten lunch. ฉันได้รับประทานอาหารกลางวันแล้ว
ไอ แฮฟ อีทเทอน ลันช
อาการที่คุณรับประทานอาหารนั้นจบแล้วแต่คุณยังอิ่มอยู่ ฝรั่งยังไม่ถือว่าเป็นอดีต
อย่างที่กล่าวแล้วว่า ช่องที่หนึ่งหมายถึงการพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอ เป็นนิสัย เป็นความจริงในธรรมชาติ

I go to work everyday. ฉันไปทำงานทุกวัน
ไอ โก ทู เวิร์ค เอ็ฟ วริ เด

ถ้าต้องการทำให้เป็นคำถาม อย่างที่เคยบอกแล้วว่าถ้าเป็น Verb to be เราสามารถนำ Verb to be ขึ้นต้นประโยคได้เลย แต่ถ้าเป็น verb ตัวอื่นๆ เช่น go คุณไม่เคยได้ยินใครถามว่า
Go you to work everyday?

แต่เราต้องการ Verb มาช่วย ช่วยทำอะไร ช่วยในการตั้งคำถามและตอบปฏิเสธ Verb ตัวนั้นก็คือ Verb to do

Do you go to work everyday?
Yes, I go to work every day.
Yes, I do.
No, I do not go to work everyday.
No, I do not.
No, I don’t.

มีข้อยกเว้นนิดหนึ่ง สำหรับการพูดถึงปัจจุบัน ถ้าคุณพูดถึง He She It หรือชื่อคน สิ่งของ ที่เป็นสิ่งเดียว มีกฏให้จำง่ายๆว่า ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่สาม หรือคนที่เรากล่าวถึงเขากริยาต้องเติม s หรือ es เช่น
He goes to work everyday.

แล้วคำไหนที่เติม es บ้าง คำที่ต้องเติม es คือคำที่ลงท้ายด้วย s sh ch x หรือ o
คำถาม Does he go to work everyday?
ประโยคนี้มี Verb 2 ตัว เมื่อเราเติม es ที่กริยาตัวแรกแล้วคือ do จาก do เปลี่ยนเป็น does
go ซึ่งเป็น Verb ตัวที่ 2 ของประโยค ก็ไม่ต้องเติม s หรือ es แล้ว แต่เวลาตอบรับ
Yes, he goes to work everyday.
goes เป็น verb ตัวแรก จึงต้องเติม es
No, he does not go to work everyday.
ประโยคนี้ก็มีกริยา 2 ตัว เติม es ที่ do เป็น does go จึงไม่ต้องเติม es อีก ลองฝึกดูนะคะ
โดยใช้ Verb ง่ายๆ ตามนี้กับสรรพนามทุกตัว

Get up เก็ท อัพ ตื่นนอน
Have breakfast แฮฟ บเรค ฟัซท รับประทานอาหารเช้า
เปลี่ยนจาก have เป็น has ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ He She It
Take a shower เทค อะ ชาวเวอร์ อาบน้ำ
Brush the teeth บรัช เดอะ ทีธ แปรงฟัน
Get dressed เก็ท เดรส แต่งตัว
Walk the dog วอล์ค เดอะ ด็อค พาสุนัขไปเดิน
Feed the cat ฟีด เดอะ แคท ให้อาหารแมว
Watch TV ว็อช ที วี ดูโทรทัศน์

อดีต บอกอดีตโดยใช้กริยาช่องที่ 2 เช่น

Go went gone โก เว้นท กอน
Run ran run รัน แรน รัน
Get got gotten เกท กอท กอทเท่น
Look looked looked ลุค ลุคท ลุคท

จะต้องมีเวลาระบุแน่นอนเสมอ เช่น yesterday เยสเทอร์เด เมื่อวานนี้
last week ลาสท วีค อาทิตย์ที่แล้ว
last month ลาสท มันธ เดือนที่แล้ว
a year ago อะ เยีร อะโก หนึ่งปีที่แล้ว
I went to London last year. ฉันไปลอนดอนปีที่แล้ว
ไอ เว้นท ทู ลอนดอน ลาสท เยีร

ถ้าต้องการตั้งคำถามก็เหมือนปัจจุบัน เราทำ went you to London last year? ไม่ได้
เราต้องมี Verb มาช่วย เรารู้แล้วว่า verb ช่วย คือ do แต่ do อยู่ในช่องที่ 1 จึงใช้กับอดีตไม่ได้
Do did done ดู ดิด ดัน เราต้องใช้ did ดิด
Did you go to London last year?
ดิด ยู โก ทู ลอนดอน ลาสท เยีร

เมื่อเราใช้ did แล้ว กริยาตัวที่ 2 ต้องกลับไปอยู่ในรูปเดิม จาก went จึงเป็น go
ถ้าตอบรับ
Yes, I went to London last year. เยส ไอ เว้นท ทู ลอนดอน ลาสท เยีร
ตอบสั้นๆ ได้ว่า Yes, I did. เยส ไอ ดิด
ตอบปฏิเสธ No, I did not go to London last year.
โน ไอ ดิด นอท โก ทู ลอนดอน ลาสท เยีร
ตอบสั้นๆ ได้ว่า No, I didn’t. โน ไอ ดิดเด็น
การที่เราจะพูดอดีตได้ถูกต้อง เราจำเป็นต้องรู้จักกริยาสามช่อง ซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้ทั่วไป

คราวนี้มาดูเวลาที่เราพูดถึงอนาคตบ้าง

I will go to London next year. ฉันจะไปลอนดอนปีหน้า
ไอ วิล โก ทู ลอนดอน เน็คส เยีร
เราเพียงแต่ใส่ Will วิล เข้าไปไว้หน้าประโยค เราก็จะได้ประโยคที่บอกอนาคต บางครั้งเราอาจจะใส่เวลาระบุหหรือไม่ก็ได้
การตั้งคำถาม เราก็เอา Will ขึ้นหน้าประโยคได้เลย
Will you go to London next year?
วิล ยู โก ทู ลอนดอน เน็คส เยีร
Yes, I will go to London next year.
เยส ไอ วิล โก ทู ลอนดอน เน็คส เยีร
Yes, I will.
เยส ไอ วิล
No, I will not go to London next year.
โน ไอ วิล นอท โก ทู ลอนดอน เน็คส เยีร
No, I will not.
โน ไอ วิล นอท
No, I won’t. รูปย่อของ No, I will not.
โน ไอ โว้นท์

คราวนี้เมื่อพอทราบภาษาอังกฤษพื้นฐานกันแล้ว เราไปเตรียมตัวขั้นตอนต่อไปกันนะคะ


ตัวอย่าง จากหนังสือ อังกฤษอัพเกรด Idioms
ฝรั่งเลือกใช้ คนไทย UPDATE
คำนำ

คณะครูโรงเรียนชมรมภาษาอังกฤษมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนและท่านที่สนใจทั่วไปได้อ่านและเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
Idioms หรือสำนวนก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจและอ่านสนุก ผู้อ่านจะได้เรียนรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในสำนวนต่างๆซึ่งหลายๆสำนวนก็มีความคล้ายกับภาษาไทยของเรา
จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับผู้เรียนหลายท่าน ส่วนมากจะบอกว่าอยากอ่านภาษาอังกฤษแต่ไม่รู้ว่าจะอ่านอะไรดี พวกเราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือในชุดอังกฤษอัพเกรดที่เราจัดทำ จะมีประโยชน์กับผู้เรียนและผู้สนใจภาษาอังกฤษทั่วไป เพียงแค่คุณเปิดอ่านเพลินๆวันละนิด คุณก็สามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณได้


คณะครูโรงเรียนชมรมภาษาอังกฤษ


Idioms

สำนวนคือ วลีหรือประโยคซึ่งไม่ได้มีความหมายตรงตามที่เขียน ถึงแม้ว่าคุณจะรู้ความหมายของทุกๆคำที่เห็นหรือได้ยินคุณก็อาจจะไม่เข้าใจสำนวนนั้นหากคุณไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังสำนวนดังกล่าว เราต้องรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในสำนวนเหล่านั้น

ลองศึกษาความหมาย รวมทั้งฝึกอ่านออกเสียงด้วยนะคะ

All thumbs ความหมาย : ไม่ถนัด ผิดพลาด ซุ่มซ่าม
ที่มา : คนเรามีนิ้วโป้งซึ่งช่วยให้เราหยิบจับอะไรได้ง่าย แต่ลองคิดดูสิค่ะว่าถ้านิ้วทั้งหมดของเราเป็น นิ้วโป้งเราคงทำอะไรต่อมิอะไรลำบากน่าดู
Meaning:
To be clumsy, awkward with your hands and keep making mistakes
Usage:
Can you imagine if all your fingers were thumbs? It would be difficult to do things so people use this idiom when they want to make an excuse for breaking something or not being able to do something correctly.
Example:
I just broke two glasses while washing the dishes. I'm all thumbs today.
Can you help me with my necktie? I guess I’m all thumbs because I’m so nervous.



At the end of one’s rope ความหมาย :ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป สุดความสามารถแล้ว

ที่มา : ลองนึกถึงเวลาที่เราใช้เชือกเพื่อปีนต้นไม้หรือปีนเขา ถ้าเรามาถึงปลายเชือกแต่ยังไม่ถึงพื้นเราคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีโดดลงมาก็คงเจ็บแน่ หรืออีกตัวอย่างเช่น ถ้าเราผูกสุนัขไว้แต่วางอาหารของเขาไกลเกินกว่าเชือกที่ผูกเขาไว้ เขาก็คงได้แต่นอนมองอาหารจานนั้นอย่างหงอยๆ
Meaning:
Not knowing what to do next, at the limit of one’s ability
Usage:
People say this when they are frustrated and can’t find an answer to a problem.
Example:
I just don't know how to talk to my teenage daughter anymore. I'm at the end of my rope.

The divorce from her husband was very messy; it has put her at the end of her rope.


All’s well that ends well ความหมาย : ผลสำเร็จนั้นควรค่าแก่ความพยายาม

ที่มา : หนึ่งในบทละครของเช็คเปียร์(ลองไปหาอ่านดูสิค่ะ)
Meaning:
A successful outcome is worth the effort.
Usage:
People use this idiom to express a feeling of relief that something difficult has been successfully finished

Example:
Although we often disagreed and argued during the project, we are happy with the result. All's well that ends well!
They were fighting constantly during the month before the wedding, but on their wedding day they realized how much they loved each other. All’s well that ends well

All your eggs in one basket ความหมาย : การขึ้นอยู่กับแผนหรือการลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้นเสี่ยงต่อการผิดพลาด
ที่มา : การวางแผนไม่ว่าเรื่องใดๆถ้าเรามีเพียงแค่ทางเลือกเดียวหากเกิดผิดพลาดขึ้นมาเราก็คงเสียทุกอย่างเหมือนไข่ทั้งหมดที่อยู่ในตะกร้าใบเดียวถ้าเราล้มไข่ทั้งหมดก็คงแตก
Meaning:
Depending on one plan or one investment
Usage:
This idiom is often used to warn somebody about a chance they are taking and how risky it can be.
Example:
If you invest all your money in one share, you'll have all your eggs in one basket.
He decided to put all his eggs in one basket and use all his savings to open up a bakery.


คำโปรยปกหลัง Verbs&Tenses อังกฤษสะดวกรู้ ฉบับกริยา 3 ช่อง
ถ้า คุณเป็นหนึ่งในนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่เข้าใจว่า กริยา 3 ช่องนั้น
ช่องที่หนึ่งคือปัจจุบัน
ช่องที่สองคืออดีต
ส่วนช่องที่สามคืออนาคต
คุณเข้าใจผิดมาตลอด
กริยาช่องที่สามไม่ได้ใช้กับอนาคตแน่นอนค่ะ ขอยํ้า
และนี้คือเหตุผลของการทำหนังสือเล่มนี้
เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องของ Verbs และ Tenses
ได้กระจ่างกว่าเดิม
คุณยังจะได้เห็นการกระจายกริยาของ Tenses ต่างๆ
และของประธานทุกตัว(Full Conjugations)รวมทั้งประโยคตัวอย่างอีกมากมาย
















































1 ความคิดเห็น:

  1. ดีมาก สำหรับการเผยแพร่ความรู้เช่นีร้

    ตอบลบ