Facebook

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สอนหนูน้อยพูดภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คุณพ่อคุณแม่คิด

สอนหนูน้อยพูดภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คุณพ่อคุณแม่คิด


ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นมือใหม่สำหรับภาษาอังกฤษหรือไม่ก็สามารถสนุกกับเจ้าตัวน้อยที่บ้านด้วยภาษาอังกฤษได้


เราควรเริ่มสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเมื่อไหร่ดีนะ


นี่เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านต้องการคำตอบ
เดี๋ยวนี้โลกเราแคบลงมากการติดต่อสื่อสารในโลกไร้พรมแดนทำได้ในชั่วพริบตา
ภาษาจึงมีความจำเป็นมากเป็นเงาตามตัว
การเริ่มสอนภาษาอังกฤษหรือไม่ว่าจะเป็นภาษาใดที่เป็นภาษาที่สอง
สามารถเริ่มได้เมื่อเจ้าตัวน้อยของเราเรียนภาษาไทยนั่นแหละค่ะ
ตัวน้อยของเรามีความสามารถพิเศษในการซึมซับภาษานะคะ


ภาษาอังกฤษไม่ใช้เรื่องโก้หรือเท่แล้วหละค่ะ
แต่กลับเป็นเรื่องจำเป็นในโลกปัจจุบัน


ภาษาอังกฤษสามารถเปิดโลกให้เจ้าตัวน้อยของเราหลายด้าน
เขาจะมีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น
มีความพร้อมที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของนานาชาติ
และแน่นอนเมื่อเขาเข้าสู่วัยทำงาน
โอกาสที่ดีกว่าก็จะไม่หนีหายไปไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความภูมิใจในตัวเองด้วยนะคะ
ในอนาคตเจ้าตัวน้อยของเราคงต้องคล่องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้วหละค่ะ

ทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง10ขวบเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะสอนภาษาใหม่
เด็กจะเรียนได้เร็วและพูดออกเสียงได้เกือบเหมือนเจ้าของภาษา
เด็กเล็กจนถึง5ขวบสามารถเรียนและใช้ภาษาได้ถึง5ภาษา
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมีความเห็นตรงกันค่ะว่า
การสอนภาษาที่สองหากเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีที่สุด
สอนภาษาที่สองไปพร้อมกับภาษาแม่ได้เลยเช่น
คุณชี้ไปที่แมวแล้วบอกลูกว่า แมว หลังจากนั้นคุณก็พูดว่า It’s a cat.


คราวนี้เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นความจำเป็นของการเริ่มสอนภาษาอังกฤษแล้ว


ขั้นต่อไปจะหาผู้ช่วยยังไงดีค่ะ


ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่เก่งภาษาอังกฤษแต่ก็สามารถส่งเสริมลูกในการเรียนได้

ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาด้วยตัวเอง Educate yourself

หรือการเรียนไปพร้อมกับเจ้าตัวน้อย Learn together

อีกทั้งในยุคนี้สื่อต่างๆก็สามารถหาได้ง่ายมากกว่าเดิมมากไม่ว่าจะเป็นดีวีดีหรือซีดี
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เกือบจะไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษเองเลยด้วยซํ้า

คุณพ่อคุณแม่อาจจะหากลุ่มเพื่อนเล่นที่พูดภาษาอังกฤษเจ้าตัวน้อยของเราจะได้ยินการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันจริงๆและนั้นคือวิธีเรียนโดยธรรมชาติ

การหาพี่เลี้ยงก็เป็นอีกวิธีที่จะให้เด็กได้อยู่กับภาษาอังกฤษนะคะ

หลังจากที่เจ้าตัวน้อยได้เรียนภาษาอังกฤษแล้ว
กระตุ้นให้เขาใช้ภาษาอังกฤษที่เขาทราบ
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถแต่งประโยคออกมาได้
แต่การได้ฟังได้พูดภาษาอังกฤษบ้าง
ก็จะเป็นเหมือนก้าวแรกที่จะทำให้เขามีความสามารถ
ในการใช้และออกเสียงภาษาอังกฤษ
ซึ่งจะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษในอนาคตนั้นง่ายขึ้นค่ะ

มาหัดร้องเพลงเพื่อสอนลูกกัน


คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสียงเพลงกับเด็กๆ นั้นสามารถต่อติดเข้ากันได้เกือบจะทันที
ประสบการณ์จากลูกชายทั้ง 2 คน แม้จะยังพูดไม่เก่งแต่ก็ร้องเพลงได้แล้วทั้งคู่


น้องTilden เกิดที่Boston เมื่อตอนที่เขายังแบเบาะคุณแม่ก็คิดว่าจะต้องหาเพลงเด็กๆ มาเริ่มหัดร้องแล้ว เพื่อจะได้ร้องเล่นกับลูกได้ พอเขาโตได้สักหกเจ็ดเดือนก็พาไปร่วมกิจกรรมเข้าจังหวะกับกลุ่ม Family Music Makers เด็กๆ ก็จะได้ร้องเพลง ได้ฟังเพลงได้คุ้นเคยกับเครื่องดนตรี และดนตรีหลายๆ รูปแบบ เมื่อเราสมัครกับเขาเรียบร้อย เขาก็จะมี CD ให้เรา 2 แผ่น แผ่นหนึ่งเขาให้เก็บไว้ฟังที่บ้าน แผ่นหนึ่งเขาให้เอาไว้ฟังในรถ เวลาขับรถไปไหนก็เปิดให้เขาฟังตั้งแต่เล็กๆ นั้นหละค่ะ มาทราบว่าเขาไม่ได้แค่ฟังเฉยๆ ก็ตอนที่เขาร้องเพลงนั้นๆ ได้ และร้องได้แบบไม่ผิดคีย์ ( อันนี้ได้รับการยืนยันจากเพื่อนที่เป็น Producer เลยทีเดียวค่ะ)
ส่วนน้องTyler เกิดที่เมืองไทยแต่ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ คุณแม่ใช้วิธีเดียวกับพี่ชายคือให้คุ้นเคยกับเพลงตั้งแต่เล็กร้องและทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับลูกเอง ลูกก็คุ้นเคยขึ้นมาได้เช่นกัน คุณแม่จับน้องTyler เล่น Head Shoulders Knees and Toes ตั้งแต่ที่น้องห้าเดือน พอโตแตะเองได้ก็ไม่ต้องช่วยแล้ว ลองมาดูนะคะเพลงอะไรบ้างที่คุณพ่อคุณแม่จะร้องเล่นกับลูกๆ ได้ ไม่ต้องกลัวจะร้องไม้ได้ค่ะ



ถ้าร้องไม่ได้มีผู้ช่วย คุณพ่อคุณแม่เข้าไปหาเพลงของเด็กๆ ได้จาก You tube เลยค่ะ
เพลงแรกที่แนะนำก็คือ Head Shoulders Knees and Toes ค่ะ คุณเล่นกับลูกได้ตั้งแต่ยังเล็กๆ เลย
Head, Shoulders, Knees and Toes,
Knees and Toes
Head, Shoulders, Knees and Toes,
Knees and Toes

And Eyes and Ears and Mouth and Nose
Head, Shoulders, Knees and Toes

เพลงที่ 2 If you’re happy
If you're happy and you know it, clap your hands (clap clap)
If you're happy and you know it, clap your hands (clap clap)
If you're happy and you know it, then your face will surely show it
If you're happy and you know it, clap your hands. (clap clap)

If you're happy and you know it, stomp your feet (stomp stomp)
If you're happy and you know it, stomp your feet (stomp stomp)
If you're happy and you know it, then your face will surely show it
If you're happy and you know it, stomp your feet. (stomp stomp)

If you're happy and you know it, shout "Hurray!" (hoo-ray!)
If you're happy and you know it, shout "Hurray!" (hoo-ray!)
If you're happy and you know it, then your face will surely show it
If you're happy and you know it, shout "Hurray!" (hoo-ray!)

If you're happy and you know it, do all three (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
If you're happy and you know it, do all three (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
If you're happy and you know it, then your face will surely show it
If you're happy and you know it, do all three. (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
เพลงที่ 3 Pat a cake
Pat a cake, Pat a cake, baker's man
Bake me a cake as fast as you can;
Pat it and prick it and mark it with a 'B',
And put it in the oven for Baby and me.

เพลงที่ 4 The wheel on the bus

The wheels on the bus go round and round
Round and round
Round and round
The wheels on the bus go round and round
All 'round the town

The wipers on the bus go swish, swish, swish
Swish, swish, swish
Swish, swish, swish
The wipers on the bus go swish, swish, swish
All 'round the town

The driver on the bus goes 'move on back'
Move on back
Move on back
The driver on the bus goes 'move on back'
All 'round the town

The people on the bus go up and down
Up and down
Up and down
The people on the bus go up and down
All 'round the town

The horn on the bus goes beep, beep, beep
Beep, beep, beep
Beep, beep, beep
The horn on the bus goes beep, beep, beep
All 'round the town

The baby on the bus goes 'whaa whaa whaa'
Whaa whaa whaa
Whaa whaa whaa
The baby on the bus goes 'whaa whaa whaa'
All 'round the town

The parents on the bus go 'shh, shh, shh'
Shh, shh, shh
Shh, shh, shh
The parents on the bus go 'shh, shh, shh'
All 'round the town

ยังมีเพลงอีกเยอะเลยค่ะแต่เพลงเก่ง 3-4 เพลงนี้คุณก็เป็นขวัญใจของลูกๆ แล้วหละค่ะ เมื่อเขาเริ่มพูดได้ เขาร้องตามได้เราก็ลองให้เขาช่วยร้องด้วยกันนะคะ แรกๆ จะเป็นการดำน้ำเสียส่วนใหญ่แต่เราก็พูดเนื้อเพลงชัดๆ ให้เขาได้ยินบ่อยๆ ได้ หรือบอกให้เขาพูดตามเราค่ะ ช่วงนี้เราสามารถเพิ่มพูนคำศัพท์ให้เขาได้โดยการร้องเพลงอีกนั้นแหละค่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้จัก Sesame street มีเพลงง่ายๆ หลายๆ เพลงเลยค่ะ แต่ที่ Tilden ชอบมากๆ ก็จะเป็น C is for Cookie.
"C" is for cookie.
That’s good enough for me.
"C" is for cookie
That’s good enough for me.
"C" is for cookie.
That’s good enough for me.
Oh.........cookie,cookie,cookie starts with "C".


พอเขาร้องได้แล้วคราวนี้คุณแม่ก็จับเปลี่ยนเนื้อเพลงหมด ไล่ไปตั้งแต่
A is for apple.
B is for bagel.
D is for donut.
P is for pizza หรือ Pasta.
N is for noodle.
O is for omelet หรือ orange.

แรกๆ ที่เริ่มร้องผิดจากเดิม ลูกก็จะมองหน้าว่า mommy ร้องผิดแล้ว แต่หลังๆ เขาก็จะสนุกไปกับเราร้องตามไปด้วยค่ะ น้อง Tyler ก็จะชอบร้องเพลงของ Barney, I love you.

I love youYou love meWe're a happy familyWith a great big hugAnd a kiss from me to youWon't you say you love me too?I love youYou love meWe're best friendsLike friends should beWith a great big hugAnd a kiss from me to youWon't you say you love me too?

รวมทั้งเพลงอื่นๆที่พี่Tilden ร้องให้ฟังทุกวัน แม้แต่เปล่งเสียงของตัวอักษรที่เราศึกษาผ่านมา ก็เอามาร้องเป็นเพลงได้ค่ะ เคยดูจาก you tube คุณครูสอนเด็กอนุบาลที่อเมริกาก็ดัดแปลงเพลงมาสร้างความสนุกสนาน ให้การเรียนเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อให้เด็กๆ ได้ เขาดัดแปลงเพลง who lets the dog out? Woof woof woof woof คราวนี้เราก็แทนที่ dog ด้วยตัว Alphabet ได้เลยค่ะ
Who lets the A out?
เสียงของตัว A ก็คือ แอ ก็ร้องว่า แอ แอ แอ แอ
Who lets the B out?
เบอะ เบอะ เบอะ เบอะ
Who lets the C out?
เคอะ เคอะ เคอะ เคอะ

คุณพ่อคุณแม่ลองสร้างความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษจากเสียงเพลงให้ลูกๆดูนะคะ


Magic words และประโยคคำสั่งง่ายๆ พูดให้ฟังจนคุ้นหู


Magic words คืออะไร คือคำพิเศษที่สามารถเนรมิตให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้น
Tilden อยากได้น้ำหรือขนม ก่อนที่เราจะให้เขาก็จะถามเขาว่า what’s the magic word? แน่นอนแรกๆ เขายังไม่ทราบหรอกค่ะต้องบอกให้เขาทราบว่าเราต้องการให้เขาพูดว่า Please หรือ Thank you เด็กๆ จะเรียนรู้ว่าถ้าเขาขอร้องให้เราทำอะไร เราต้องการให้เขาพูดว่า please เมื่อเราทำให้เขาแล้วต้องให้เขาขอบคุณโดยพูด Thank you
น้องTyler เล็กกว่าพี่ Tilden ก็จะยังพูดไม่ชัดกลายเป็น พรี พรี ไป ก็พยายามออกเสียงที่ชัดและถูกต้องให้ลูกฟังค่ะ

เมื่อเขารู้จัก Magic words แล้วก็ต้องมีแบบผึกหัดให้ทำตลอดนะคะ อย่าลืมถามลูกๆ เมื่อเราทำอะไรให้เขา ว่า what’s the magic word? ถ้า Please หรือ Thank you ยังไม่ตรงกับสถานการณ์นักก็ค่อยๆ อธิบายไปค่ะ

อีกคำหนึ่งในกลุ่ม Magic words ก็คือ Sorry เมื่อเขาทำผิดคุณแม่จะรู้สึกดีขึ้นโกรธน้อยลงหรือหายโกรธก็ต่อเมื่อหนูพูดว่าขอโทษ ก็คือ Sorry ค่ะอธิบายให้เขาฟัง และเมื่อเราต้องการให้เขาขอโทษ ก็บอกเขาตอนนั้นเลยค่ะ เวลาเด็กๆ เล่นกันก็มีกระทบกันบ้างก็อย่าลืมใช้เป็นโอกาสสอนให้ลูกรู้จักขอโทษหรือ Sorry คนอื่นนะคะ
เด็กกำลังอยู่ในวัยที่อยากหยิบนั้นจับนี่เพื่อช่วยคุณพ่อคุณแม่ ถ้าเราไม่สอนให้เขาทำอะไรเลยเขาก็จะไม่ทำ และทำอะไรไม่เป็น แต่ก็นั้นแหละค่ะถ้าให้เขาทำก็อาจเป็นการสร้างงานเพิ่มขึ้น คุณพ่อคุณแม่หลายคนคิด แต่ถ้าเราจะผึกสมาชิกตัวน้อยของเราก็ควรใช้โอกาสนี้ค่ะ

คำสั่ง Give me the cup please คุณพ่อคุณแม่อย่าลืม Magic words นะคะ
Get mommy the spoon please.
Listen to…
Hold mommy’s hand please.
Turn on the light please.
Turn off the T.V. please.
Turn on the AC please.

Look at......
Open the door for mommy please.
Give mommy the remote please.

ประโยคคำสั่งมีมากมายเลยค่ะ เขาจะได้คุ้นเคยกับสิ่งที่คุณขอให้เขาทำ รู้จักคำศัพท์ด้วยนะคะ

Tilden กับ Tyler ห่างกัน 2 ปี ครึ่งคะ
พี่ Tilden สามารถดูแลน้องได้ แต่หลายๆ ครั้งก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน เช่น
ขอให้พี่ Tilden ดูน้อง
Look after the baby for mommy please.
แต่สักพักน้องก็จะวิ่งไปซนที่อื่น
พี่ Tilden ต้องการรักษาหน้าที่ให้ดีที่สุด
ก็จะเข้าไปกอดน้องไว้ไม่ให้ไป สักพักก็จะได้ยิน
พี่ Tilden ร้อง Help Help
พอมาเห็นสภาพพี่น้องก็คือ
พี่ Tilden กอดน้อง Tyler
อุ้มเอาไว้แล้วบอกเราว่า
Help, baby is heavy. เขารับมือไม่ไหวแล้ว

คุณพ่อคุณแม่ลองทำความคุ้นเคยกับประโยคคำสั่ง ในชีวิตประจำวันดูนะคะ ตั้งแต่ตื่นเลย

Good morning, time to wake up.
Go pee pee and flush the toilet.
Take off your pjs (pajamas) and put them in the basket.
Put your diaper into the trash can.
Brush your teeth take shower.
Put the toothpaste on the tooth brush.
Rinse your month.
Get the towel to dry yourself.
Take the towel back on the rail.
Go drown stairs with baby.
Be careful when you walk down.
Breakfast time, sit and eat property.
Take this plate to the sink.
It’s time to go to school.
Get into the car.
Put your seat belt on.
Wear your seat belt.
Buckle your seat belt.
Big hug and kiss kiss mommy, please.

คราวนี้ลองผึกหาคำสั่งของคุณเอง เห็นไหมค่ะทุกอย่างเป็นการเรียนได้ตลอดเวลาโดยที่เด็กๆ เองก็ไม่รู้ตัว

สอนพูดเป็นคำ หรือ สอนพูดเป็นประโยค แบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน


การสอนภาษาอังกฤษเด็กเล็กๆ เราอาจจะยังติดว่าเขาเล็กไป สอนเป็นคำๆ ไปก่อนแล้วกัน
เช่น บอกให้รู้ว่า cat แมว table โต๊ะ dog หมา
น้องๆ หนูๆ ได้เรียนก็จำไว้แค่นั้น ไม่ทราบว่าจะเอาไปพูดต่ออย่างไรดี
บางครั้งที่โรงเรียนให้การบ้าน Tilden มาคัด
“Teacher ทิชเชอร์ คุณครู” 1 หน้ากระดาษ
เมื่อคุณแม่เห็นเช่นนั้น ก็โทรไปโรงเรียนทันที ถามว่าเกิดประโยชน์อะไรจากการที่เด็กคัดแบบนี้
เด็กอนุบาลสอง ให้เขียนยังไม่ค่อยอยากเขียนเลยให้คัดลักษณะนี้เห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรแน่
นอกจากจะต้องฟาดฟันให้ลูกทำการบ้านแล้ว เด็กอาจจะพาลเกลียดภาษาอังกฤษอีกด้วย
จึงได้แนะนำให้คุณครูลองสอนเด็กเป็นประโยคดีกว่าไหม
อย่างน้อยเด็กได้พูดอะไรที่เป็นประโยคไม่ใช่คำ
มีความสมบูรณ์มากกว่า รู้เป็นคำๆ เช่น
This is a cat. This is a table. This is a dog.
แถมยังพ่วงคำถามเข้าไปได้อีกด้วยว่า what is this?
เมื่อต้องการถามว่านี่คืออะไรค่ะหนู ก็ What is this?
คราวนี้เด็กจะไม่ได้ตอบแค่ Cat table แล้ว
แต่เขาทราบที่จะตอบเราได้ทั้งประโยค ว่า This is a cat. ค่ะ

คราวนี้คุณพ่อคุณเม่ ลองไล่ดูสิค่ะอยากให้เขารู้ศัพท์กลุ่มไหนก่อนดี
อาจจะเริ่มจากส่วนต่างๆ ของร่างกายก่อนก็ได้
อย่างน้อยเขาก็ทราบจากเพลงมาแล้ว
คุณอาจจะเริ่มชี้จาก จมูกว่า What is this?
ถ้าหนูน้อยตอบว่า nose
ก็ลองสอนเขาว่า ลองพูดเต็มประโยคสิลูก ว่า This is a nose.
ชี้ที่ปาก ถามว่า What is this?
This is a mouth.
คราวนี้ชี้ที่ตา What is this?
ถ้าคุณชี้ข้างเดียว This is an eye.
คุณก็จะได้โอกาสให้เขาสังเกตต่อว่า หนูเห็นไหมว่าทำไมคราวนี้เราใช้ an แทน a
เหตุผลก็เพราะ eye ขึ้นต้นด้วยสระไงค่ะจาก a เราจึงต้องใช้ an แทน
แล้วถ้าคราวนี้คุณชี้ตาสองข้าง คำถามต้องเปลี่ยนเป็น What are these?
ตอบว่าThese are eyes.
คุณก็จะได้โอกาสให้เขาสังเกตเพิ่มเติมว่า
ของตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไปนะในภาษาอังกฤษเราต้องเติม s ที่ข้างท้ายคำนั้นด้วย
ถ้าคุณลองให้เขาสังเกตดู
ความแตกต่างของประโยคเอกพจน์ และประโยคพหูพจน์แล้ว
ให้เขาถามออกมา ลูกๆ ของเราก็จะได้ฝึกดูความแตกต่าง
การที่เขาได้คิดและเห็นความแตกต่างด้วยตัวเองจะทำให้เขาเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
คุณยังสามารถสอนให้เขารู้จักกับคำนามได้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น